คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว จาก เมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– ในช่วงที่ผม “ถังแตก” ผมโชคดีที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมหาเศรษฐีซึ่งนึกเวทนาในสภาพของผม เขาพูดกับผมว่า “ฮาร์ฟ ถ้าคุณยังทำไม่ได้ดีเท่าที่หวัง นั่นหมายความว่ามีบางอย่างที่คุณยังไม่รู้” โชคดีที่ผมใส่ใจกับคำแนะนำนั้นและเปลี่ยนแปลงตัวเองจากผู้ที่ “รู้ดีไปหมดซะทุกเรื่อง” ไปเป็นผู้ที่ “เรียนรู้ทุกอย่าง” และนับจากนาทีนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป “ถ้าคุณเอาแต่ทำสิ่งที่คุณเคยทำมา คุณก็จะได้แต่สิ่งที่คุณเคยได้ตลอดมานั่นแหละ” นี่คือเหตุผลที่การเรียนรู้และเติบโตตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในคำคมสุดโปรดของผมคือ คำพูดของนักเขียนและนักปรัชญาที่ชื่อ อีริค ฮอฟเฟอรื ซึ่งกล่าวว่า “ผู้ที่เปิดใจเรียนรู้จะได้ดำรงอยู่ต่อไป ขณะที่ผู้ที่คิดว่าตนรู้อยู่แล้วจะถูกส่งไปมีชีวิตอย่างสวยงามในโลกที่ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป” พูดง่ายๆก็คือ ถ้าคุณไม่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา คุณก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เท่าที่ผมรู้ วิธีเดียวที่จะทำให้คุณมีเงินตามต้องการก็คือ การเรียนรู้วิธีเล่นเกมการเงินทั้งภายในและภายนอก คุณต้องเรียนรู้ทักษะและกลยุทธ์ในการเร่งรายได้ รู้วิธีบริหารเงิน และนำมันไปลงทุนให้ได้ผล คำจำกัดความของคำว่า “ดันทุรัง” คือการทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำซากและคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ต่างออกไป ฟังนะครับ ถ้าสิ่งที่คุณทำมาเป็นวิธีที่ดีอยู่แล้วจริงๆ คุณก็คงรวยและมีความสุขไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่เห็นด้วยขึ้นมาล่ะก็ สิ่งนั้นคงเป็นแค่ข้ออ้างหรือคำแก้ตัวเท่านั้น “ผู้เชี่ยวชาญทุกคนล้วนเคยผ่านความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่ามาก่อน” ไม่มีใครเกิดมาเป็นอัจฉริยะเรื่องเงินตั้งแต่ออกจากท้องแม่ คนรวยทุกคนล้วนต้องเรียนรู้วิธีประสบความสำเร็จในเกมการเงินและคุณก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน จำไว้ว่า คำขวัญประจำใจคุณคือ ถ้าพวกเขาทำได้ ฉันก็ต้องทำได้! “ตัวตนของคุณจะปรากฏในทุกแห่งหนที่คุณไป” ถ้าคุณพัฒนาตนเองจนประสบความสำเร็จทั้งทางด้านบุคลิกและความคิด […]
คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– ถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณคงเติบโตขึ้นมาโดยถูกสั่งสอนให้ “ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน” ในทางตรงกันข้าม เป็นไปได้มากทีเดียวว่าคุณคงไม่เคยถูกสอนว่า “การใช้เงินทำงานหนัก” ให้คุณก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรรวยมีเวลาเล่นสนุกสนานและพักผ่อนเพราะพวกเขาทำงานอย่างชาญฉลาด พวกเขาเข้าใจและนำหลักการเพิ่มค่าของเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ พวกเขาจ้างคนมาทำงานและยังใช้เงินของตนทำงานแทนด้วย คนรวยเข้าใจว่า “คุณ” ต้องทำงานหนัก จนกระทั่ง “เงิน” ของคุณสามารถทำงานหนักให้คุณได้ และตัวคุณเองก็ไม่จำเป็นต้องทำงานอีกต่อไป พวกเขาเข้าใจว่า ยิ่งเงินของคุณทำงานหนักเท่าไหร่ ตัวคุณจำเป็นต้องทำงานน้อยลงเท่านั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า ก่อนอื่นคุณต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน แล้วจึงให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวคุณเองบ้าง ในการสัมมนาของผม เกมการเงินของเรามีเป้าหมายเพื่อให้ “ไม่ต้องทำงานอีกเลย…นอกเสียจากคุณเลือกที่จะทำ” และถ้าคุณต้องทำงาน คุณก็จะทำงาน “ด้วยใจรัก ไม่ใช่เพราะความจำเป็น” อิสรภาพทางการเงินในนิยามของผมคือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตในรูปแบบที่คุณต้องการโดยไม่จำเป็นต้องทำงานหรือพึ่งพาคนอื่นในเรื่องเงิน คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อรายได้งอกเงยของคุณมีจำนวนมากกว่ารายจ่าย แหล่งที่มาของรายได้งอกเงยอย่างแรกคือ “เงินสร้างเงิน” ซึ่งได้แก่ รายได้จากการลงทุน เช่น หุ้น พันธบัตร ตั๋วเงินคงคลัง ตลาดเงิน กองทุนรวม รวมไปถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่ถือว่ามีค่าและแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ แหล่งรายได้งอกเงยอีกอย่างคือ “ธุรกิจสร้างเงิน” หรือธุรกิจซึ่งนำมาซึ่งรายได้ต่อเนื่องโดยคุณไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเพื่อให้ธุรกิจนั้นสามารถดำเนินการหรือสร้างรายได้ ตัวอย่างเช่น การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ค่าลิขสิทธิ์หนังสือ […]
คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– คนรวยไม่ได้ฉลาดกว่าคนจน พวกเขาเพียงแต่มีนิสัยในด้านการเงินที่แตกต่างและเอื้อต่อการสร้างความมั่งคั่งมากกว่า ลักษณะนิสัยดังกล่าวเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูในอดีต ดังนั้น ถ้าคุณบริหารเงินได้ไม่ดี นั่นอาจหมายความว่า คุณไม่ได้ถูกสอนมาให้บริหารเงิน อีกข้อหนึ่งคือเป็นไปได้มากทีเดียวว่าคุณอาจไม่รู้วิธีบริหารเงินอันแสนง่ายดายและเปี่ยมประสิทธิภาพ โรงเรียนไม่ได้สอนวิชา “ร้อยแปดวิธีการบริหารเงิน” เราเรียนแต่เรื่องสงครามกลางเมืองกู้ชาติ และแน่นอนครับ นั่นเป็นความรู้ที่ผมเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อักโขทีเดียว คนจนนั้น ถ้าพวกเขาไม่ชอบบริหารเงินด้วยเหตุผลหลักๆ ก็มักหลีกเลี่ยงมันไปเลย ผู้คนไม่ชอบบริหารเงินด้วยเหตุผลหลักๆเพียงสองข้อ ข้อแรกคือ พวกเขาบอกว่ามันเป็นการจำกัดอิสรภาพ ผมขอบอกว่าการบริหารเงินไม่ได้จำกัดอิสรภาพของคุณแม้แต่น้อย…ตรงกันข้าม มันให้อิสระแก่คุณต่างหาก การบริหารเงินจะช่วยให้คุณได้รับอิสรภาพทางการเงินได้ในที่สุด คุณจึงไม่จำเป็นต้องทำงานอีก สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นอิสรภาพที่แท้จริงสำหรับผม ข้อสองคือ พวกที่แก้ตัวว่า “ฉันไม่มีเงินมากขนาดจำเป็นต้องบริหาร” ที่ถูกต้องพวกเขาควรพูดว่า “เมื่อฉันเริ่มบริหารเงิน ฉันจึงจะมีเงินมาก” มันก็เหมือนกับคนอ้วนที่พูดว่า “ฉันจะเริ่มออกกำลังกายและควบคุมอาหารทันทีที่ฉันลดน้ำหนักได้ยี่สิบปอนด์” ขั้นแรกคุณต้องบริหารเงินที่มีให้ดีเสียก่อน แล้วคุณก็จะมีเงินให้บริหารมากขึ้นไปอีก กฎของสวรรค์ก็คือ “ถ้าคุณยังไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าคุณจัดการกับสิ่งที่มีอยู่ในมือได้ คุณก็จะไม่ได้รับอะไรเพิ่ม!” คุณต้องบ่มเพาะนิสัยและทักษะในการบริหารเงินก้อนเล็กๆ ก่อนที่จะมีเงินก้อนใหญ่ การบริหารเงินจนกลายเป็นนิสัยย่อมมีความสำคัญกว่าจำนวนเงินที่เราบริหาร แล้วคุณจะบริหารเงินของคุณอย่างไร? ผมจะให้หลักการสักสองสามข้อเพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ได้ ให้คุณเปิด “บัญชีอิสรภาพทางการเงิน” ของคุณเพิ่มอีกบัญชีหนึ่ง แล้วฝากเงิน 10% ของทุกบาทที่คุณหามาได้ (หลังหักภาษีแล้ว) ไว้ในบัญชีนี้ เงินส่วนนี้มีไว้เพื่อการลงทุนและซื้อหรือสร้างแหล่งรายได้งอกเงยเท่านั้น […]
คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– เครื่องวัดความมั่งคั่งที่แท้จริงคือมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่รายได้จากการทำงาน นี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน มูลค่าทรัพย์สินคือมูลค่ารวมของทุกสิ่งที่คุณครอบครอง ซึ่งสามารถประเมินได้จากการรวมมูลค่าของทุกอย่างที่คุณเป็นเจ้าของ มูลค่าทรัพย์สินคือการวัดความมั่งคั่งที่ดีที่สุด เพราะในกรณีที่จำเป็น ทรัพย์สินในครอบครองของคุณสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ รายได้จากการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในสี่ปัจจัยที่กำหนดมูลค่าทรัพย์สินของคุณ ปัจจัยทั้งสี่มีดังนี้ 1.รายได้ 2.เงินเก็บ 3.การลงทุน 4.ชีวิตที่เรียบง่าย รายได้มีอยู่สองรูปแบบคือ รายได้จากการทำงาน และรายได้งอกเงย รายได้จากการทำงานคือเงินที่ได้มาจากการลงแรงทำงาน ซึ่งรวมถึงเงินค่าจ้างจากการทำงานวันต่อวัน หรือสำหรับผู้ที่มีธุรกิจส่วนตัว รายได้ส่วนนี้คือกำไรหรือรายได้จากการทำธุรกิจ รายได้จากการทำงานคือเงินที่คุณต้องเสียเวลาและแรงงานเพื่อให้ได้มา รายได้จากการทำงานเป็นสิ่งสำคัญเพราะถ้าไม่มีมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงตัวแปรที่เหลือทั้งสามด้าน แต่แม้ว่ารายได้จากการทำงานจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของสมการมูลค่าทรัพย์สินเท่านั้น รายได้งอกเงย คือ เงินที่คุณได้มาโดยไม่ต้องลงแรงทำงาน เงินออมก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน คุณอาจหาเงินมาได้ก้อนโต แต่ถ้าคุณไม่เก็บมันไว้บ้าง คุณก็จะไม่มีวันร่ำรวย หลายคนมีแผนผังการเงินไว้สำหรับถลุงเงินที่หามาได้แต่เพียงอย่างเดียว พวกเขาเลือกความพอใจชั่วขณะแทนความสมดุลในระยะยาว นักใช้เงินมีคติพจน์ประจำใจสามข้อ ข้อแรกคือ “มันก็แค่เงิน” ข้อสองคือ “ใช้ไป เดี๋ยวก็หาใหม่ได้” ข้อสามคือ “โทษที ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันถังแตกอยู่” เมื่อคุณเก็บสะสมเงินจากรายได้ได้จำนวนหนึ่ง คุณจะสามารถก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปและทำให้เงินของคุณงอกเงยด้วยการลงทุน ยิ่งคุณลงทุนได้ทีมากเท่าไหร่ เงินของคุณก็จะงอกเงยและเพิ่มพูนมูลค่าทรัพย์สินได้มากขึ้นเท่านั้น คนรวยทุ่มเวลาและพลังไปกับการเรียนรู้เรื่องการลงทุน พวกเขาภูมิใจในความเก่งกาจด้านการลงทุนของตัวเอง […]
คนรวยเลือก “ทั้งสองทาง” คนจนเลือก “ทางใดทางหนึ่ง” จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– คนรวยอยู่ในโลกแห่งความพรั่งพร้อม คนจนอยู่ในโลกแห่งข้อจำกัด แน่นอน ทั้งสองต่างอยู่บนโลกใบเดียวกัน แต่ความแตกต่างนั้นอยู่ที่มุมมองของพวกเขา คนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่มาจากพื้นเพที่ยากลำบาก พวกเขาใช้ชีวิตโดยมีคำขวัญประจำใจว่า “ไม่มีอะไรที่เพียงพอสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้หรอก และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีพร้อมทุกอย่าง” แต่ถึงคุณไม่อาจมีได้ “ทุกอย่าง” หรือทุกๆสิ่งบนโลกใบนี้ ผมก็เชื่อว่าคุณสามารถมี “ทุกอย่างที่คุณต้องการจริงๆ” ได้อย่างแน่นอน คนรวยเข้าใจว่า ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพียงเล็กน้อย คุณย่อมสามารถคิดหาหนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองด้านแทบทุกครั้ง คำถามสำคัญที่คุณต้องถามตัวเองก็คือ “ฉันจะมีทั้งสองอย่างได้อย่างไร?” คำถามนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณจากชีวิตที่ขาดแคลนและเต็มไปด้วยข้อจำกัดไปสู่สรวงสวรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้และความอุดมสมบูรณ์ การคิดถึง “สองทางเลือก” มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงิน คนจนและชนชั้นกลางเชื่อว่าตนต้องเลือกระหว่างเงินและสิ่งอื่นๆในชีวิต ผลที่ตามมาคือ พวกเขาสรรหาข้ออ้างมาทำให้เงินกลายเป็นเรื่องสำคัญรองจากสิ่งอื่นๆ ขอย้ำให้ชัดอีกครั้งว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญ! การบอกว่าเงินไม่สำคัญเท่าสิ่งอื่นๆในชีวิตเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ สำหรับคุณแล้ว อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างแขนและขา? เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจสำคัญทั้งสองอย่าง? คนที่ร่ำรวยล้วนเข้าใจดีว่า คุณต้องเลือกทั้งสองอย่าง เหมือนที่คุณต้องมีทั้งแขนและขา นั่นคือ คุณต้องมีเงินและมีความสุขด้วย ถ้าคุณต้องการมีชีวิตที่ปราศจากขีดจำกัด ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม จงปล่อยวางความคิดที่จะเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และมุ่งมั่นกับความตั้งใจที่จะมี “ทั้งสองอย่าง”
คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– คุณเคยได้ยินคำแนะนำที่ว่า “ไปโรงเรียน เรียนให้ได้เกรดดีๆ หางานดีๆทำ หางานที่มีเงินเดือนประจำ ตรงต่อเวลา ทำงานหนัก…แล้วคุณจะมีชีวิตที่มีความสุขตลอดไป” บ้างไหมครับ? ผมจะไม่เสียเวลาหาเหตุผลมาหักล้างคำแนะนำนี้ทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะคุณสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ลองดูจากประสบการณ์ของตัวเองหรือคนรอบตัวคุณก็ได้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกับคุณในที่นี้คือเรื่องเงินเดือน “ประจำ” การได้รับเงินเดือนประจำนั้นไม่มีอะไรผิดหรอก มันแค่ลดประสิทธิภาพในการหาเงินให้ได้ตามศักยภาพสูงสุดของคุณ นั่นแหละปัญหา และมักจะเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ด้วย ความมั่นคงเช่นนี้ต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง และสิ่งนั้นก็คือ “ความมั่งคั่ง” การใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความกลัว สิ่งที่คุณคิดจริงๆก็คือ “ฉันกลัวว่าจะไม่สามารถหาเงินได้พอยาไส้ถ้าต้องพิจารณาจากความสามารถในการทำงาน ดังนั้นฉันจะขอรับเงินแค่ให้พออยู่รอดหรืออยู่ได้อย่างไม่ลำบากก็พอ” คนรวยชอบที่จะรับเงินตามผลงานของพวกเขามากกว่า ในโลกของการเงิน จำนวนผลตอบแทนมักสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับเสมอ คนรวยเชื่อในตัวเอง พวกเขาเชื่อในคุณค่าและความสามารถในการสร้างคุณค่าของตัวเอง ขณะที่คนจนไม่เชื่อ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาต้องการ “หลักประกัน” คนจนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหาเพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าคุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า “อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ” ถ้าคุณเลือกรับเงินตามเวลาที่คุณใช้ในการทำงาน เท่ากับคุณกำลังทำลายโอกาสไปสู่ความมั่งคั่งของตัวคุณเอง สมมุติว่าคุณอยู่ในธุรกิจขายปากกา มีลูกค้าโทรสั่งซื้อปากกา 50,000 ด้าม ในกรณีนี้ คุณจะทำอย่างไร? คุณก็แค่โทรไปหาผู้ผลิต สั่งปากกามา 50,000 ด้าม และก็ส่งขาย แล้วก็นั่งนับกำไรอย่างเป็นสุข […]
คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง จาก เมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– การกระทำคือ “สะพาน” เชื่อมระหว่างโลกภายนอกและโลกภายใน(จิตใจ) ความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวล เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่ในแง่ของความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสุดของคุณด้วย เพราะฉะนั้น หนึ่งในข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างคนรวยกับคนจนก็คือ คนรวยเต็มใจลงมือทำแม้จะหวาดกลัว แต่คนจนปล่อยให้ความกลัวขัดขวางพวกเขา ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ก็คือการรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือจางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป นักรบที่แท้จริงต้องสามารถ “ทำให้งูเห่าแห่งความกลัวเชื่องลงได้” เราไม่ได้บอกว่าให้คุณฆ่างูตัวนั้น และไม่ได้บอกให้กำจัดมันทิ้งไป และที่แน่ๆก็คือ เราไม่ได้บอกให้คุณวิ่งหนีมัน เราบอกให้คุณฝึกงูเห่าตัวนั้น “ให้เชื่อง” เนื่องจากมนุษย์ทุกคนล้วนมีนิสัยติดตัว เราจึงต้องฝึกลงมือทำแม้จะหวาดกลัว แม้จะกังขา แม้จะกังวล แม้จะไม่แน่ใจ แม้จะไม่สะดวก แม้จะอึดอัด และแม้ว่าเราไม่มีอารมณ์อยากจะทำ อะไรก็หยุดยั้งคุณได้ทั้งนั้น ทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะขนาดของปัญหา แต่เป็นเพราะขนาดของตัวคุณเอง! ถ้าคุณต้องการสร้างฐานะหรือความสำเร็จ คุณต้องทำตัวเป็นนักรบ คุณต้องเต็มใจที่จะทำทุกอย่างที่ต้องทำ คุณต้อง “ฝึก” ตัวเองไม่ให้มีสิ่งใดมาหยุดยั้งคุณได้ หนึ่งในกฎของการเป็นนักรบคือ “ถ้าคุณเต็มใจจะทำแต่เรื่องง่าย ชีวิตจะกลายเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณเต็มใจทำแต่เรื่องยาก ชีวิตจะกลายเป็นเรื่องง่าย” คนรวยไม่ตัดสินใจทำอะไรเพราะเห็นแก่ความง่ายดายหรือความสะดวก วิถีชีวิตแบบนั้นมีไว้สำหรับคนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่เท่านั้น ทำไมการลงมือทำทั้งที่ที่ลำบากถึงสำคัญนัก? นั่นก็เป็นเพราะ […]
คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่ จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– ถ้าจะให้ผมฟันธงถึงสาเหตุอันดับหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดทางการเงินของตัวเองได้ ผมก็จะขอบอกว่า คนส่วนใหญ่เป็น “ผู้รับ” ที่แย่ เขาอาจเป็นผู้ให้ที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ที่แน่ๆคือ พวกเขาเป็นผู้รับที่แย่ และเพราะพวกเขารับได้แย่ พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่รับ! คนเรามีปัญหากับการเป็นผู้รับด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกเลยคือ หลายคนรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าหรือไม่คู่ควร อาการของโรคนี้แพร่ระบาดอย่างกว้างขวางในสังคมของเรา ผมขอเดาว่ากว่า 90% ของประชากรโลกต่างมีความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ดีพอวิ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือด แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องตระหนักไว้ว่า ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างฐานะและจากมุมมองทางการเงิน มันอาจเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ ความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าหรือไม่ ล้วนเป็น “เรื่องราว” ที่เราสร้างขึ้นเอง ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดมีความหมายหรอก นอกจากความหมายที่เรามอบให้มันเอง ไม่มีใครเดินเข้ามาประทับตรา “มีค่า” หรือ “ไร้ค่า” บนตัวคุณได้หรอก คุณเองนั่นแหละที่เป็นคนทำ คุณสร้างมันขึ้นมาเอง คุณเป็นคนตัดสินเอง คุณคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดว่าคุณจะมีค่าหรือไม่ มันเป็นมุมมองของคุณ ถ้าอย่างนั้น ทำไมคนเราถึงทำกับตัวเองอย่างนี้? ทำไมคนเราต้องสร้างเรื่องขึ้นมาว่าตัวเองไร้ค่า? มันเป็นธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ ซึ่งมีระบบป้องกันตัวเองที่จ้องแต่จะหาสิ่งผิดปกติ คุณสังเกตุไหมว่าพวกกระรอกไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านี้เลย? คุณพอจะนึกภาพกระรอกบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะไม่สะสมลูกนัทเตรียมไว้สำหรับหน้าหนาวในปีนี้ให้มากนักเพราะฉันมันไร้ค่า” ได้ไหม คงเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะสัตว์ที่มีระดับสติปัญญาต่ำไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นกับตัวเอง มีแต่สัตว์โลกที่มีวิวัฒนาการล้ำหน้าอย่างมนุษย์เท่านั้นแหละที่สามารถตั้งข้อจำกัดให้กับตนเองได้ หนึ่งในคติพจน์ของผมคือ […]
คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– คนจนพยายามทำแทบทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา พวกเขาเห็นปัญหาแล้วก็รีบวิง่หนี เรื่องน่าขันคือ การหลบเลี่ยงปัญหากลับทำให้พวกเขาต้องเผชิญปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด นั่นคือ การสิ้นเนื้อประดาตัวและความทุกข์ยาก เคล็ดลับความสำเร็จไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยงปัญหา สิ่งที่คุณต้องทำคือ การพัฒนาตัวเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน ทำตัวยิ่งใหญ่หรือเล็กกระจิ๋ว จำไว้ว่าปัญหาไม่มีทางหายไปเองหรอก ถ้าคุณยังมีลมหายใจ คุณจะต้องเจอเจ้าสิ่งที่เรียกว่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตเสมอ ขนาดของปัญหาไม่ใช่เรื่องสำคัญ…สิ่งที่สำคัญคือขนาด (ใจ) ของตัวคุณเองต่างหาก! ถ้าคุณมีปัญหาในชีวิต นั่นหมายความว่าคุณกำลังทำตัวเล็กกระจ้อยร่อย อย่าปล่อยให้รูปลักษณ์ภายนอกหลอกตา โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงภาพสะท้อนของโลกภายในตัวคุณ ถ้าคุณอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร จงเลิกให้ความสำคัญกับขนาดของปัญหา แล้วหันมาให้ความสำคัญกับขนาดของตัวคุณเองแทน! ยิ่งคุณสามารถรับมือกับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถจัดการกับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น ยิ่งคุณสามารถรับผิดชอบได้มากแค่ไหน คุณก็จะบริหารลูกน้องได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคุณสามารถดูแลลูกค้าได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถดูแลเรื่องเงินๆทองๆได้มากขึ้นเท่านั้น และในที่สุด คุณก็จะรับมือกับความมั่งคั่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็อีกเช่นเคย ความมั่งคั่งจะเพิ่มพูนได้ถึงระดับที่คุณเติบโตเท่านั้น! คุณจึงควรตั้งเป้าหมายการพัฒนาตนเองให้ถึงจุดที่คุณสามารถจัดการกับปัญหาหรืออุปสรรคในการสร้างฐานะ และรักษาระดับความมั่งคั่งไว้ได้เมื่อคุณร่ำรวยขึ้นมา คนที่จนและไม่ประสบความสำเร็จจะจมอยู่กับปัญหา พวกเขาเสียเวลาและพลังงานไปกับความรู้สึกหงุดหงิดและการพร่ำบ่น อย่าว่าแต่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีกเลย พวกเขาแทบไม่เคยสร้างสรรค์วิธีการใดๆ เพื่อแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ คนรวยไม่ถอยหนีจากปัญหา ไม่หลีกเลี่ยงปัญหา และไม่บ่นถึงปัญหา คนรวยเป็นนักรบทางการเงิน ซึ่งเราให้คำจำกัดความว่า “ผู้ที่สามารถพิชิตใจตนเองได้”
คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตัวเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ จากเมล์ที่ได้รับ ——————————————————————————– การมีอคติต่อแผนส่งเสริมการขายเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญสู่ความสำเร็จ คนที่มีทัศนคติด้านลบต่อการขายและโปรโมชั่นมักเป็นคนถังแตก แน่นอนที่สุด คุณจะสร้างรายได้จำนวนมหาศาลได้อย่างไรถ้าคุณไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวคุณ ผลิตภัณฑ์ของคุณหรือบริการของคุณมีอยุ่ในท้องตลาด? คนเรามีอคติกับโปรโมชั่นหรือการขายด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เป้นไปได้ว่าปัญหาของคุณอาจคล้ายคลึงกับข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆข้อต่อไปนี้ ข้อแรก คุณอาจเคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีตกับคนที่พยายามขายสินค้าให้คุณอย่างไม่เหมาะสม บางที่คุณอาจรู้สึกว่าเขากำลังขายของให้คุณแบบ “ยัดเยียด” บางทีพวกเขาอาจมารบกวนคุณแบไม่ถูกกาละเทศะ บางทีพวกเขาอาจไม่ยอมรับการปฏิเสธจากคุณ แต่ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณต้องตระหนักว่าประสบการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในอดีตและการยึดติดอยู่กับมันอาจไม่ส่งผลดีต่อคุณในวันนี้ ข้อสอง คุณอาจเคยประสบเหตุการณ์ที่บั่นทอนกำลังใจคุณอย่างรุนแรง เมื่อคุณพยายามขายอะไรก็ตามให้ใครสักคน แล้วถูกเขาคนนั้นปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ในกรณีนี้ ความรู้สึกไม่ชอบโปรโมชั่นของคุณเป็นเพียงภาพสะท้อนของความกลัวการล้มเหลวและการถูกปฏิเสธ จงเตือนตัวเองอีกครั้งว่า อดีตไม่จำเป็นต้องเหมือนปัจจุบันเสมอไป ข้อสาม ปัญหาของคุณอาจมีต้นตอมาจากการถูกอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็ก เราหลายคนถูกสอนมาว่า “การยกหางตัวเอง” เป็นเรื่องไม่สมควร ถ้าคุณหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนางงามารยาทดี คำสอนดังกล่าวก็อาจจะใช้ได้อยู่หรอก แต่ในโลกแห่งความจริง ในเรื่องธุรกิจและเงินๆ ทองๆ ถ้าคุณไม่ยกหางตัวเอง ผมรับประกันได้เลยว่าไม่มีใครมาช่วยยกให้คุณหรอก คนรวยยินดีเชิดชูคุณความดีและคุณค่าของตัวเองให้ใครก็ตามที่อยากฟังและหวังว่าจะได้ทำธุรกิจร่วมกับพวกเขา และท้ายที่สุด ยังมีคนอีกจำพวกที่รู้สึกว่าโปรโมชั่นนั้นไม่คู่ควรกับพวกเขา คนที่มีทัศนคติเช่นนี้จะรู้สึกว่าถ้าคนอื่นอยากได้ในสิ่งที่คุณมี พวกเขาก็น่าจะค้นหาและเป็นฝ่ายเข้ามาหาคุณเอง คนที่เชื่อแบบนี้ถ้าไม่สิ้นเนื้อประดาตัวก็คงจะถังแตกในไม่ช้าแน่นอน ความเป็นจริงคือโลกเรานั้นอัดแน่นไปด้วยสินค้าและบริการมากมาย และถึงแม้สิ้นค้าหรือบริการของเขาจะดีเลิศที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครรู้หรอกเพราะเขาหยิ่งเกินกว่าจะอ้าปากบอกใคร คนรวยมักเป็นผู้นำ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำย่อมต้องมีผู้ตามและผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่าคุณต้องช่ำชองด้านการขาย การสร้างแรงบันดาลใจ และการจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ ผู้นำสามารถทำเงินได้มากกว่าผู้ตามอย่างมหาศาล […]