คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน
คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
จากเมล์ที่ได้รับ
——————————————————————————–
คุณเคยได้ยินคำแนะนำที่ว่า “ไปโรงเรียน เรียนให้ได้เกรดดีๆ หางานดีๆทำ หางานที่มีเงินเดือนประจำ ตรงต่อเวลา ทำงานหนัก…แล้วคุณจะมีชีวิตที่มีความสุขตลอดไป” บ้างไหมครับ?
ผมจะไม่เสียเวลาหาเหตุผลมาหักล้างคำแนะนำนี้ทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะคุณสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ลองดูจากประสบการณ์ของตัวเองหรือคนรอบตัวคุณก็ได้
แต่สิ่งที่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกับคุณในที่นี้คือเรื่องเงินเดือน “ประจำ”
การได้รับเงินเดือนประจำนั้นไม่มีอะไรผิดหรอก มันแค่ลดประสิทธิภาพในการหาเงินให้ได้ตามศักยภาพสูงสุดของคุณ นั่นแหละปัญหา และมักจะเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ด้วย
ความมั่นคงเช่นนี้ต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง และสิ่งนั้นก็คือ “ความมั่งคั่ง”
การใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความกลัว สิ่งที่คุณคิดจริงๆก็คือ “ฉันกลัวว่าจะไม่สามารถหาเงินได้พอยาไส้ถ้าต้องพิจารณาจากความสามารถในการทำงาน ดังนั้นฉันจะขอรับเงินแค่ให้พออยู่รอดหรืออยู่ได้อย่างไม่ลำบากก็พอ”
คนรวยชอบที่จะรับเงินตามผลงานของพวกเขามากกว่า ในโลกของการเงิน จำนวนผลตอบแทนมักสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับเสมอ
คนรวยเชื่อในตัวเอง พวกเขาเชื่อในคุณค่าและความสามารถในการสร้างคุณค่าของตัวเอง ขณะที่คนจนไม่เชื่อ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาต้องการ “หลักประกัน”
คนจนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหาเพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าคุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า “อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ” ถ้าคุณเลือกรับเงินตามเวลาที่คุณใช้ในการทำงาน เท่ากับคุณกำลังทำลายโอกาสไปสู่ความมั่งคั่งของตัวคุณเอง
สมมุติว่าคุณอยู่ในธุรกิจขายปากกา มีลูกค้าโทรสั่งซื้อปากกา 50,000 ด้าม ในกรณีนี้ คุณจะทำอย่างไร? คุณก็แค่โทรไปหาผู้ผลิต สั่งปากกามา 50,000 ด้าม และก็ส่งขาย แล้วก็นั่งนับกำไรอย่างเป็นสุข ในทางกลับกัน สมมุติว่าคุณเป็นนักนวดเพื่อการบำบัด และมีลูกค้า 50,000 คนต่อแถวอยู่นอกประตูรอให้คุณนวด คุณจะทำอย่างไร? ถึงเวลานั้น คุณคงจะตีอกชกหัวตัวเองที่ไม่เลือกทำธุรกิจปากกาตั้งแต่แรก
ผมพบว่าคนส่วนใหญ่ที่ติดแหง็กอยู่กับการเป็นมนุษย์เงินเดือน คือผู้ที่ถูกตั้งโปรแกรมมาตั้งแต่เด็กว่า วิธีนี้คือหนทาง “ปกติ” ในการทำมาหากิน
พ่อแม่ส่วนใหญ่เป็นห่วงและปกป้องลูกมากจนเกินไป จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาอยากให้ลูกๆ มีชีวิตที่มั่นคง ดังเช่นที่คุรอาจเคยมีประสบการณ์มาแล้ว งานใดๆก็ตามที่ไม่มีเงินเดือนประจำมักทำให้พ่อแม่ทักท้วงว่า “เมื่อไหร่ลูกจะหางานหาการทำจริงๆ จังๆ ซะที?”
ผมจำได้ว่า เมื่อพ่อแม่ผมถามผมแบบนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ผมตอบไปว่า “ไม่มีวันนั้นหรอกครับ!” แม่ผมฉุนจัดทีเดียว แต่พ่อผมพูดออกมาว่า “ดีแล้วล่ะลูก ลูกไม่มีทางรวยได้หรอกถ้ารอรับเงินเดือนจากคนอื่น ถ้าลูกจะหางานทำ ก็ขอให้รับค่าจ้างเป็นเปอร์เซนต์ ไม่อย่างนั้นก็ทำงานของตัวเอง!”
ผมก็ขอสนับสนุนให้คุณทำงาน “ของตัวเอง” เช่นกัน สร้างธุรกิจของตัวเอง ทำงานรับค่าคอมมิสชั่น รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซนต์จากรายได้หรือผลกำไรของบริษัท หรือเลือกรับเป็นหุ้น
ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร ขอให้แน่ใจว่าคุณปูทางไปสู่การรับค่าตอบแทนตามผลงาน
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าทุกๆคนควรจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบเต็มตัวหรือพาร์ตไทม์ก็ตาม เหตุผลประการแรกคือ เศรษฐีเงินล้านส่วนมากล้วนร่ำรวยขึ้นมาจากการทำธุรกิจของตัวเอง
แล้วอีกอย่าง เป็นเรื่องยากที่จะร่ำรวยขึ้นมาได้เมื่อมีเจ้าหน้าที่ด้านภาษีของรัฐตั้งหน้าตั้งตารับส่วนแบ่งเกือบครึ่งของทุกเม็ดเงินที่คุณหามาได้ แต่ถ้าคุณมีบริษัทของตัวเอง คุณสามารถประหยัดเงินได้ไม่ใช่น้อย ด้วยการนำค่าใช้จ่ายต่างๆไปขอลดหย่อนภาษี แค่เหตุผลนี้เพียงข้อเดียว การมีธุรกิจเป็นของตัวเองก็คุ้มค่าน่าลองแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว หนทางเดียวที่จะมีรายได้ที่สอดคล้องกับศักยภาพที่แท้จริงของตัวคุณเอง คือ การเลือกที่จะรับค่าตอบแทนตามผลงาน ขอย้ำอีกครั้ง ด้วยคำพูดของพ่อที่ประทับใจผมที่สุด
“ลูกไม่มีทางรวยได้หรอกถ้ารอรับเงินเดือนจากคนอื่น ถ้าลูกจะหางานทำก็ขอให้รับค่าจ้างเป็นเปอร์เซนต์ ไม่อย่างนั้นก็ทำงานของตัวเอง!”