Posts in category: Story
เมื่อรักกลับมาหา ตอน1

วันนี้สำหรับผม คงเป็นวันที่ปรกติๆอีกวันหนึ่ง … ถ้ามันเป็นเหมือนเช่นทุกๆวันที่ผ่านมา แต่มันไม่สิครับ … โทรศัพท์ของผมดังขึ้น ซึ่งมันคงจะไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่พอผมเหลือบไปดูเบอร์ที่โทรเข้า ผมเกิดอาการตกใจนิดหน่อยครับ มันเป็นเบอร์แฟนเก่าผม ซึ่งเลิกกันไปแล้วประมาณ 2ปี … ” ฮัลโหล ” ผมรับสาย ” ฮัลโหล ” โอหรอ … ” อืม โอเอง นั่นใครอ่ะ ” ผมแกล้งพูดออกไป ทั้งๆที่จำได้ดีว่าเป็นใคร … ” อืม นี่แนนเอง ” อะไรจำกันไม่ได้แล้วหรอ T-T แนนตอบผม ผมเริ่มงงอีกเล็กน้อย ว่าวันนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับกรุมั๊ยนี่ – -a ” โอ…แนนเลิกกับกอล์ฟแล้ว ” แนนบอกกับผม อ้าว ทำไมล่ะแนน ผมเริ่มเข้าใจเหตุผล ที่เธอโทรหาผม เค้ามีแฟนใหม่ เค้าไม่สนใจแนนแล้ว แนนไม่เหลือใครแล้วโอ แนนพูดกับผม ผมได้ยินเสียงเธอร้องไห้ […]

งาน งาน งาน

นานมาแล้ว มีพระราชา  ผู้ซึ่งบอกกับคนขี่ม้าของเขา  ว่าถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไรก็ตาม พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขาไปอย่างรวดเร็วดเพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้ เขาเร่งควบม้าไปเรื่อยๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว    เมื่อเขาหิวหรือเหนื่อยเขาไม่หยุดควบม้า เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดน ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้   เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขาหมดแรง  และ  กำลังจะตาย เขาจึงถามตัวเองว่า “ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน? ตอนนี้เรากำลังจะตายและเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็กๆ  เพื่อฝังศพตัวเอง” เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตพวกเรา พวกเราผลักดันตัวเองอยู่ทุกวันเพื่อ  ให้ได้เงินมากๆ, มีอำนาจ, และ  เป็นที่ยอมรับ. พวกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพ  ให้เวลากับครอบครัว  และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว และงานอดิเรกที่เรารัก วันนึงเมื่อเรามองกลับไป  พวกเราจะตระหนักว่า เราไม่ได้ต้องการมันมากนัก แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้  กับสิ่งที่เราพลาดไป ชีวิตไม่ใช่การสร้างเงิน, สร้างอำนาจ, หรือการยอมรับ  ชีวิตไม่ใช่การทำงาน  งานเป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุกกับความงาม  และความพึงพอใจของชีวิต ชีวิตคือความสมดุลของงานและการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว คุณได้ตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตคุณอย่างไร กำหนดลำดับความสำคัญของคุณเอง ตระหนักว่าอะไรที่คุณสามารถยอมรับได้ แต่จงตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณของตัวคุณเอง  ความสุขคือความหมายและจุดมุ่งหมาย ของชีวิต…. จุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ดังนั้น สร้างมันง่ายๆโดยทำในสิ่งที่คุณต้องการจะทำ และซาบซึ้งกับธรรมชาติ ชีวิตนั้นเปราะบาง ชีวิตนั้นสั้น […]

งานเดียวกัน

Paul และ Peter ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน อายุเท่ากัน ช่วงเวลาทำงานก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก พวกเขามีความขยัน ตั้งใจในการทำงาน แต่ว่า Peter นั้นทำงานได้ไม่นานนัก ก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ จนได้เป็นถึงผู้จัดการแผนก แต่สำหรับ Paul แล้ว ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่ามีเขาอยู่ด้วย จนวันหนึ่ง Paul ซึ่งหมดความอดทนได้เข้ามาขอลาออก เหตุผลก็คือ เขาได้ทำงานหนัก แต่ไม่เคยประจบประแจง หรือเป็นคนคุยโวโอ้อวด เขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของผู้อำนวยการเลย เมื่อผู้อำนวยการฟัง Paul พูดจบ เขาทราบว่า Paul นั้นทำงานหนักจริง แต่เขาขาดคุณสมบัติไปข้อหนึ่ง ถ้าเขาพูดไปตรงๆ อาจทำให้ Paul ไม่สบายใจ ดังนั้น เขาจึงคิดวิธีหนึ่งได้ แล้วพูดว่า “Paul บางทีฉันอาจจะตาลายนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอไปที่ตลาดดูว่าที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง” Paul รีบไปตลาดแล้วก็กลับมา รายงานผู้อำนวยการว่า “ผมพบว่ามีชาวนาชราคนหนึ่งลากรถมาขายถั่ว” ผู้อำนวยการถาม “รถนั้นสามารถบรรทุกถั่วได้หนักกี่กิโล” Paul ก็ขอกลับไปดูใหม่ สักครู่ก็กลับมา รายงานว่า “รถนั้นบรรทุกถั่วจำนวน 40 […]

เจ้าหญิงก้อนหินกับเจ้าชายน้ำหยด

หลังจากผิดหวังในความรัก เจ้าหญิงก็เสียใจ นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว จนร่างกายค่อยๆ กลายเป็นหิน ชายใดสามารถทนกอดก้อนหินได้ด้วยความรักจริง ก้อนหินจะกลับมาเป็นเจ้าหญิงงดงามดั่งเดิม เจ้าชายน้ำหยดอ่านแผ่นป้ายหน้าก้อนหินรูปทรงประหลาดอย่างสนใจ “ต้องกอดนานเท่าไหร่” เจ้าชายถามคนเฝ้าก้อนหิน “ไม่รู้… เพราะยังไม่มีใครทนกอดได้สำเร็จสักคน” คนเฝ้าก้อนหินตอบโดยไม่เงยหน้า “เราจะกอดเจ้าหญิงเอง” แล้วเจ้าชายก็ค่อยๆ นั่งลงบรรจงกอดก้อนหินอย่างทะนุถนอม ………. หนึ่งปีผ่านไป เจ้าชายน้ำหยดยังกอดก้อนหินอยู่ “นี่ท่านยังกอด ก้อนหินอยู่อีกหรือ” คนเฝ้าก้อนหินรู้สึกทึ่งกับความอดทนของเจ้าชาย “ท่านทำได้อย่างไร” “เพราะข้าอยู่กับปัจจุบัน” เจ้าชายเห็นคนเฝ้าก้อนหินงง เจ้าชายจึงอธิบายต่อ “ถ้าท่านกอดก้อนหิน หนึ่งวัน ท่านทำได้หรือไม่” “สบายมาก” คนเฝ้าก้อนหินตอบโดยไม่ต้องคิด “แล้วถ้ากอด สองวัน ล่ะ” “อาจเริ่มเบื่อนิดๆ” “แล้วถ้า สามวัน สี่วัน หรือสิบวันล่ะ” “ไม่เอา ข้าไม่มีความอดทนขนาดนั้นหรอก” “นั่นเพราะท่านไม่อยู่กับปัจจุบัน… ท่านคิดไปก่อนล่วงหน้าว่าไม่ไหว” “ไม่เข้าใจ” “ในเมื่อท่านบอกว่ากอดก้อนหินหนึ่งวันได้สบายมาก พรุ่งนี้หรือวันต่อไป มันจะต่างกันตรงไหน มันก็เป็นแค่ หนึ่งวัน ที่ผ่านไปเช่นเดียวกัน” เจ้าชายลูบก้อนหินราวกับมีชีวิต “ในสายตาท่าน อาจจะเห็นว่าข้ากอดก้อนหินนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ในความรู้สึกข้า ข้าเพิ่งกอดเจ้าหญิงผ่าน […]

ความรัก = น้ำเปล่า

ความรักก็เหมือนน้ำเปล่า ถึงไม่มีรสชาติแต่ก็ขาดไม่ได้ ความรักก็เหมือนน้ำเปล่า ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ ความรักก็เหมือนน้ำเปล่า บางครั้งเราก็ต้องการมากแต่บางครั้งมันก็น่าเบื่อ ความรักก็เหมือนน้ำเปล่า มันทำให้เรารู้สึกสดชื่นและมีกำลังใจจะทำอะไรต่อ ความรักก็เหมือนน้ำเปล่า มันอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันมีอิทธิพลต่อชีวิตเรามาก ความรักก็เหมือนน้ำเปล่า น้อยไปก็กระหาย มากไปก็เอียน ความรักก็เหมือนน้ำเปล่า ยิ่งห่างเหินมันนานเท่าไร ยิ่งกระหายมันมากเท่านั้น ใครจะ “ขัดขวาง” ความรัก คงจะไม่สำเร็จอย่างที่คิด ใครจะ “ตัดใจ” จากความรัก คงจะทำไม่ได้เช่นกัน หรือใครที่คิดจะ “ลืม” ความรักล่ะก็ ไม่มีทาง เหมือนกับน้ำเปล่า คุณลืมน้ำเปล่าได้หรือ และอย่าเข้าใจว่า ความรักคือน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมซ่าๆ มันจะเป็นเพียงแค่น้ำเปล่าเท่านั้น ถ้ามันเป็นรักแท้ เพราะน้ำเปล่า มีคุณประโยชน์เทียบเท่าน้ำหวาน หรือน้ำอัดลม ถึงมันจะไร้น้ำตาลซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลัง แต่น้ำเปล่า มันแทบไม่มีผลข้างเคียงเลย มันรักษาคุณค่าเอาไว้ได้ดีกว่าน้ำใดๆ น้ำเปล่า เจอกับเกลือ มันก็ละลายเกลือ เหมือนกับรักแท้ คนที่รักคุณจริงๆ เมื่อคุณเจอกับความทุกข์ เขาก็จะพยายามรับความทุกข์จากคุณไว้ให้มาก ขอบคุณแหล่งบทความจาก เว็บสตอรี่ทูยูดอทคอม

ได้ดังประสงค์ แต่ไม่สมปรารถนา

ชีวิต มันไม่ได้ดังใจเราเสมอไปหรอก หลายสิ่งที่ต้องการ ก็ไม่ได้มา ขณะที่บางสิ่ง แม้ว่าจะได้ดังประสงค์ หากก็ดูเหมือนจะ..ไม่สมปรารถนา เราถูกสอนมา แบบสุขนิยมในเชิงบริโภคนิยมว่า ..ต้องได้มาดังใจจึงจะมีความสุข จนลืมมองไปว่า ในธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดได้ดังใจ ไม้ใหญ่ที่ยืนต้นงามสง่า ไม่เคยบังคับแดดฝนได้ดังใจ ส่วนต้นอ้อล้อลมนั่นเล่า ก็อาจจะไม่ได้พิศวาสอะไรเลยกับสายลม ที่ต้นไม้ทำได้ ก็คือเติบโตไปทีละวันๆ ที่ต้นอ้อทำได้ ก็คือไม่ต้านแรงลม ที่คนเราทำได้ ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามธรรมดา มีความสุขแบบที่ไม่จำเป็นต้องฝืนใจ มีความรักแบบที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรน เราถูกสอนมาโดยหลายสิ่งหลายอย่างรอบๆตัว ให้ไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุด แต่พอได้มาตามประสงค์ มันก็ยังไม่สมความปรารถนา มีสิ่งที่ดีกว่ารอข้างหน้าอยู่ร่ำไป ดีที่สุดนั้นไม่มีจริง แต่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นหรอกที่อาจจะเป็นไปได้ สิ่งที่เรามีอยู่และฝันที่ไม่ไกลเกินเอื้อม อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราแต่ละคนแล้วก็ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเรามีคุณค่าน้อยกว่าคนอื่น มีค่าไม่ควรแก่ “สิ่งดีที่สุด” ที่ใครก็อยากได้ หากเป็นเพราะว่าเรามีค่าเกินกว่าที่จะไปแย่งชิงกับใคร ..แม้ในสิ่งที่ขึ้นชื่อว่า “ดีที่สุด” สิ่งที่ฉันมี และสิ่งที่ฉันเลือกจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันเสมอ ดีที่สุดเพราะเหมาะสมที่สุด ดีที่สุดเพราะไม่ทำให้เหนื่อยจนเกินไป ดีที่สุด เพราะให้เรามีเวลาได้ชื่นชม แทนที่จะต้องเสียเวลาไปกับการวิ่งตาม เราถูกสอนว่า เราต้องตามให้ทันโลก ไม่อย่างนั้นเราจะพลาดบางสิ่งที่คนอื่นชิงได้ไปก่อน ดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกจะเต้นระบำเป็นจังหวะรุมบ้าที่เร่งร้อนขึ้นทุกวัน ในขณะที่ใครบางคนกลับพิศมัยที่จะเยื้องย่างไปช้าๆในจังหวะวอลซ์ โลกหมุนเร็วจนเราต้องวิ่งถึงจะตามทัน และบางวันที่เหนื่อยหนัก […]

ดีหรือไม่ดี..ยากที่จะบอก

Once upon a time, there was a king. The king liked one of his followers very much because he was very wise and always gave very useful advice. Therefore the king took him along wherever he went. นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง พระราชาองค์นี้มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆ ที่ One day, the king was bitten by a dog, the finger was injured […]

ชาวนากับลาแก่

ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้ว อีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจ และรู้ชะตากรรมของตนทันที มันร้องโหยหวนทันที สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สักสองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลา ลามันจะสะบัดดินออกจากหลังแล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไรมันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาสามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น” “อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป” เป็นกำลังใจให้กับทุกๆคน ที่เจออุปสรรคจะมากบ้าง หรือน้อยบ้าง จงทำให้ดีก็แล้วกัน แปลและเรียบเรียงจากนิทานจีนภาคภาษาอังกฤษ

ถอนหญ้า

“ก๊อกๆๆๆๆ” เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มาพร้อมๆกับเสียงที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า “ตื่นนอนได้แล้วจะได้ช่วยกันทำงาน” เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมาท่าทางงัวเงียสลึมสลือ มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น “อืม…..ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว” “นี่วันหยุดนะเนี่ย” เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปถอนหญ้าที่ไร่นะ” พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย เด็กน้อยพยักหน้าตอบ และลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน หลังจากทานอาหารเสร็จ เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้านกระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณสภาพเก่าโทรม บ่งบอกถึงอายุการใช้งานซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่ ในระหว่างทางเด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด เขาป้อนคำถามที่อยากรู้ ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภาระกิจที่จะต้องทำ “ถอนหญ้า” ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งหญ้าเปรียบเสมือน”ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่ ” ” เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ ” พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิวไปที่แปลงผัก เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผักทีละต้น ทีละต้น จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น ” ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน….ปะ “เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก “กลับมาเร็วๆ นะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง ” เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย หลังจากได้พักกินน้ำพ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อยพร้อมกับพูดว่า” เอ้า…เอาไปถากหญ้า ” เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภาระกิจต่อ ดูเหมือนกับว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับการใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน เหตุผลก็คือมันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ หลังจากที่ภาระกิจเสร็จสิ้นลงพ่อลูกก็พากันกลับบ้านระหว่างทางเด็กน้อยถาม ” ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ ทั้งๆที่ทำงานได้เร็วกว่า” พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียวผ่านไป […]

ต้นไม้ปัญหา

ช่างไม้ที่ฉันจ้างมาซ่อมบ้านต่างจังหวัด เพิ่งเสร็จงานอย่างทุลักทุเล ยางรถที่แตก ทำให้เขาเสียเวลางานไปกว่าชั่วโมง เลื่อยไฟฟ้าก็เสีย แล้วนี่รถปิ๊คอัพโกโรโกโส ก็สตาร์ทไม่ติดเสียอีก ฉันจึงต้องขับรถไปส่งเขาที่บ้าน เขานั่งเงียบตลอดทาง เมื่อไปถึงเขาพาฉันไปรู้จักกับสมาชิกในครอบครัว ในระหว่างที่เราเดินผ่านประตูรั้ว เขาหยุดครู่หนึ่งที่ต้นไม้หน้าบ้าน เอามือทั้งสองขึ้นไปเหนี่ยวกิ่งใหญ่ชั่วครู่หนึ่ง เมื่อไปถึงประตูบ้าน สีหน้าของเขาแช่มชื่นเป็นคนละคน เขาสวมกอดลูกชายเล็กๆ ทั้งสอง รวมทั้งหอมแก้มภรรยาหลังจากนั้น เขาก็เดินมาส่งฉันที่รถ เราเดินผ่านต้นไม้ต้นเดิม ฉันอดไม่ได้ที่จะถามเขาด้วยความอยากรู้ว่า เขายกมือทั้งสองเหนี่ยวกิ่งไม้ตอนขาเข้ามาทำไม อ้อ..นั่นมันต้นไม้ปัญหาของผมเอง เขาตอบ ปัญหาในการทำงานเกิดขึ้นกับผมเสมอๆ แต่ที่แน่ๆ สิ่งหนึ่งก็คือ ปัญหาต่างๆ พวกนี้ไม่ใช่ปัญหาของคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือลูกๆ ดังนั้นผมก็เลยแขวนปัญหาทั้งหมดที่มีในแต่ละวันไว้ที่ต้นไม้ต้นนี้ก่อนเข้าบ้าน แล้วผมก็จะเอาปัญหาที่แขวนไว้ออกไปกับผมใหม่ในตอนเช้า เขายิ้ม คุณรู้ไหม? ที่แปลกก็คือ ดูเหมือนปัญหาที่ผมเอาติดตัวกลับไปทำงานในทุกเช้า ไม่เคยมากเท่าตอนเอามาแขวนเลยสักที”