Posts in category: Story
ขนมของ “คนรักกัน”

ไอ้ทิ หรือพ่อกะทิ ชายหนุ่มโผงผางผู้กำพร้าพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียว พูดจริงทำจริง ขยันขันแข็งเอางานเอาการ เสร็จจากงานนาก็มารับจ้างขี่ควายส่งคนเข้าซอย ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรักและเอ็นดูไอ้ทิ ยกเว้นผู้ใหญ่ปลั่ง เพราะผู้ใหญ่ปลั่งมีลูกสาวสวย ที่ดันมาหลงรักไอ้ทิด้วยเช่นกัน แม่แป้ง ลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ปลั่งสาวสวยประจำหมู่บ้าน นางเจอกับไอ้ทิในวันลอยกระทง ทั้งคู่ขี่ควายสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไป แล้วไอ้ทิก็รวบรวมเงินทองเท่าที่เก็บสะสมมาได้ ไปบ้านผู้ใหญ่ปลั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้ง ซึ่งผู้ใหญ่ก็ต้อนรับมันอย่างดี ด้วยชายฉกรรจ์ 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ ไอ้ทิไม่ว่ากระไร ได้แต่พาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้านนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน ด้วยใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาขอใหม่ ขอไปจนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน ในที่สุดผู้ใหญ่ปลั่งก็ปิดหนทางความรักของไอ้ทิด้วยการคลุมถุงจัดงานแต่งงานให้ลูกสาว กับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้ทิรู้ข่าวจึงรีบวิ่งทุรนทุรายหมายจะมาทำลายพิธี ซึ่งผู้ใหญ่ปลั่งก็รู้ดีว่าไอ้ทิต้องกระทำแบบนี้ จึงขุดหลุมพรางดักรอเอาไว้ แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้าย ก็แอบหนีหมายจะมาห้ามคนรักไม่ให้หลงกล เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์ ได้แต่ปะติดปะต่อมาจากคำบอกเล่าของชาวบ้านแบบปากต่อปากว่า .. คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม แม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าไอ้ทิ ไอ้ทิเห็นแม่แป้งวิ่งมาก็ดีใจ รีบวิ่งไปหา แม่แป้งเห็นไอ้ทิรีบวิ่งมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ฉับพลัน…ร่างแม่แป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ปลั่งต่อหน้าต่อตาไอ้ทิทันที อารามตกใจ ไอ้ทิรีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือ อารามดีใจ สมุนชายฉกรรจ์ 6 นายของผู้ใหญ่ปลั่งรีบเข้ามาโกยดินฝังกลบ เพราะคิดว่าก้นหลุมมีเพียงไอ้ทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น รุ่งเช้า ผู้ใหญ่ปลั่งเดินยิ้มมาขุดหลุมเพื่อดูผล ภาพเบื้องล่างพบไอ้ทิตระกองกอดทับร่างแม่แป้งลูกสาวของตน […]

ข้อคิดจากไอสไตน์

ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า ” มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนคัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน ” นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า ” ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ ” ไอสไตน์ พูดว่า ” งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควัน เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไปเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ ” นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า ” อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรก เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ….. ถูกไหมครับ….” ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้ ไอสไตน์ ค่อยๆพูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล ” คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน […]

เรื่อง ชาวประมงกับนักลงทุน

นักลงทุนชาวอเมริกันนายหนึ่ง กำลังยืนอยู่บนท่าเรือ ของชายฝั่งหมู่บ้านเม็กซิกันแห่งหนึ่ง ขณะที่มีเรือประมงลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาจอด แล้วเขาก็ได้เห็นปลาโอครีบเหลืองตัวโต ๆ กองอยู่บนเรือลำนั้น ชาวอเมริกันเอ่ยชมชาวประมงท้องถิ่นที่จับปลาได้เก่ง ก่อนจะถามว่า “คุณใช้เวลาในการจับปลาพวกนี้นานไหม” ชาวประมงตอบว่า “ครู่เดียวเท่านั้นแหละครับ” “อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่อยู่นานอีกหน่อยเพื่อจะได้ปลามากกว่านี้ล่ะ” เขาสงสัย คนถูกถามตอบเรียบ ๆ “นี่ก็พอเลี้ยงครอบครัวในวันนี้แล้วครับ” นักลงทุนผู้มาเยือนถามใหม่ “แล้วคุณเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรล่ะ” “ผมก็ยุ่งทั้งวันแหละครับ นอนตื่นสาย ๆ จับปลาวันละนิดหน่อย เล่นกับลูก ๆ นอนพักกลางวันกับภรรยาของผม เดินเล่นในหมู่บ้าน จิบไวน์ และเล่นกีต้าร์กับเพื่อนฝูงในตอนเย็น ๆ” คนอเมริกันจึงพูดอย่างกระหยิ่มว่า “ผมจบเอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ด สามารถให้คำแนะนำคุณได้นะ อันดับแรกก็คือ คุณน่าจะจับปลาให้เยอะกว่านี้ เพื่อที่จะได้ซื้อเรือลำโต ๆ ผลจากการมีเรือลำโต ก็จะทำให้คุณมีเงินมากพอที่จะซื้อเรือเพิ่มขึ้น จากนั้น คุณก็นำปลาที่จับได้ไปขายให้โรงงาน โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอย่างในตอนนี้ หรือไม่ก็สร้างโรงงานเสียเอง ซึ่งคุณก็จะสามารถควบคุมได้ทั้งหมด นับตั้งแต่กระบวนการผลิต ผลผลิต ตลอดจนการจัดจำหน่าย ถึงตอนนั้นคุณก็สามารถย้ายจากหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ แห่งนี้ ไปอยู่ที่เมืองเม็กซิโกซิตี้ จากนั้นก็ขยับขยายย้ายไปแอลเอ แล้วไปยังนิวยอร์ก ที่ซึ่งคุณจะสามารถขยายกิจการให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น” […]

เรื่อง ณ ลานประหาร

ณ ลานประหาร… นักศึกษาชายชาวอเมริกัน 3 คน เดินทางไปเที่ยวที่แม็กซิโก ในคืนวันหนึ่งทั้ง 3 คน ดื่มเหล้าในบาร์หนักไปหน่อย พอตอนเช้า ก็พบว่าทั้ง 3 คน ติดอยู่ในคุกและโดนตัดสินประหารชีวิตไปเรียบร้อย แต่ทั้ง 3 คนไม่มีใครจำได้ว่าไปทำอะไรมาบ้างเนื่องจากเมาจัด เลยเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด พอถึงวันประหารหลังจากที่นักศึกษาคนแรกถูกนำเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไฟฟ้า เขาก็พูดสั่งเสียออกมาว่า “ผมเป็นนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแถบแกรนด์แคนยอน ผมเชื่อในพลังของพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าจะเข้าข้างผู้บริสุทธิ์” พอสิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์เก้าอี้ไฟฟ้า ปรากฎว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เลยเชื่อว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้นักศึกษาคนนี้ตายจึงปล่อยตัวไป เสร็จแล้วนักศึกษาคนที่ 2 ก็ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสับสวิทช์ไฟ นักศึกษาคนที่ 2 ก็กล่าวมาว่า “ผมเป็นนักศึกษากฏหมายอยู่ที่ มหาวิทยาลัยอริโซน่า ผมเชื่อว่ากฏหมายอันศักดิสิทธิ์จะเข้าข้างผู้บริสุทธิ์เสมอ” พูดจบเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์ทันทีปรากฏว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากฏหมายอันศักดิสิทธิ์ไม่ต้องการให้ชายผู้นี้ตายก็เลยยอมปล่อยตัวไป หลังจากนั้นพอนักศึกษาคนที่ 3 ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเขาก็กล่าวว่า “ผมเป็นนักศึกษาวิศวะไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัย(ขอสงวนสิทธิ์ไม่เอ่ยนามสถาบัน) และผมจะขอบอกพวกคุณว่าถ้าพวกคุณไม่ต่อสายไฟ 2 เส้นที่ขาดอยู่นั้นเข้าด้วยกัน ไอ้เก้าอี้ไฟฟ้าตัวนี้ก็จะไม่มีวันใช้การได้” หลังจากนั้นอีก 5 นาที วิญญานของนักศึกษาคนที่ 3 ก็ไปสู่สุขคติ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า […]

เรื่อง ปราการแห่งทิฐิ

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เวียดนาม เป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรักที่บันทึกไว้ในข้อเขียน เรื่อง “เมตตาภาวนา: คำสอนว่าด้วยรัก” ของท่าน “ติช นัท ฮันท์ ” อ่านจบหลายครั้งก็ยังประทับใจ จึงอยากนำมาเล่าต่อ ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ฝ่ายชายก็ถูกเกณฑ์ไปราชการสงคราม หญิงสาวไปส่งสามีจนสุดสายตา เขาหายไปในสงครามเป็นเวลากว่า 3 ปีจึงส่งข่าวคราวกลับมา เธอดีใจมากจูงมืออ้ายตัวเล็กไปรับผู้เป็นพ่อแต่เช้าตรู่ ทันทีที่พบกันทั้งสองโผเข้าหากัน สัมผัสไออุ่นจากกันและกัน นิ่งนาน จนเกือบลืมไปว่ามีลูกชายตัวเล็กยืนจ้องตาแป๋วอยู่ ผู้เป็นพ่อดีใจมาก ยื่นมือไปหมายกอดลูกชายแต่เจ้าหนูถอยกรูด แม่ปลอบว่า “อย่าตกใจ เจ้าหนูไม่เคยเห็นหน้าพ่อมาก่อนก็เป็นเช่นนี้แหละ” ทั้งสามเดินกลับมาตามทางจนถึงตลาด หญิงสาวขอตัวเข้าไปซื้อข้าวของสำหรับทำกับข้าวมื้อพิเศษ ชายหนุ่มมีโอกาสอยู่กับลูกชาย จึงขออุ้มเจ้าตัวน้อยอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ เท่านั้นยังไม่กระไร พอเจ้าลูกชายเริ่มพูดบางสิ่งบางอย่าง เขาจึงรู้สึกได้ถึงที่มาแห่งปฏิกิริยาอันผิดปกติ “น้าไม่ใช่พ่อของหนู พ่อหนูมาหาแม่ทุกคืน พอแม่นั่งพ่อก็นั่ง พอแม่ยืนพ่อก็ยืน…” เพียงไม่กี่คำเท่านี้เอง หัวใจของชายหนุ่มผู้เหนื่อยหนักมาจากสงครามอันแสนหฤโหดยาวนาน ก็พลันกระด้างยังกับแผ่นศิลา สักพักหนึ่งพอหญิงสาวเดินกลับมาจากตลาด เธอก็พบว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาไม่เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หากหน้าเธอเข้าก็ไม่ปรายตามองอีกต่อไป เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เย็นวันนั้น อาหารที่เธอบรรจงทำอย่างสุดฝีมือเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขาจืดสนิท ทั้งคู่เข้านอนแต่หัวค่ำ ต่างนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด เธอถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่เธอแวะไปซื้อของ เขาถามว่าเธอยังเป็นผู้หญิงคนที่เขาสุดรักอย่างจับใจคนเดิมอยู่หรือเปล่า ต่างคนต่างถามกันและกันในความมืด ทว่าเป็นการถามที่เงียบงำจนวังเวง […]

เรื่องชีวิตคู่

มีชาย-หญิง คู่หนึ่งแต่งงานอยู่ด้วยกันกระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกันเลยเชียวหล่ะ ฝ่ายหญิงมีกล่องเก็บของอยู่ใบหนึ่งวางในตู้เสื้อผ้าและกำชับแกมขอร้องสามีว่า อย่าได้เปิดดูหรือถามใดใดทั้งสิ้น ฝ่ายสามีก็ช่างน่ารักเสียเหลือเกินไม่เคยปริปากถามเรื่องกล่องใบนั้นอีกเลย วันเวลาผ่านไปหลายสิบปีอยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงป่วยมากหมอลงความเห็นว่า เธอคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานเธอจึงวานให้สามี ช่วยไปหยิบกล่องใบนั้นจากตู้เสื้อผ้า หลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาพร้อมยื่นกล่องให้เธอเธอเปิดฝากล่องขึ้นมา พบว่ามีตุ๊กตาถักไหมพรมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง (ประมาณ 95,000 เหรียญ)บรรจุอยู่ข้างใน ฝ่ายหญิงเริ่มเอ่ย”ในวันแต่งงานของเราคุณย่าของฉันได้ให้บทเรียนสอนใจว่า ครอบครัวสมรสเป็น เรื่องละเอียดอ่อนหนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยและอดทน ให้เกียรติซึ่งกันและกันไว้เนื้อเชื่อใจ มีความรักให้แก่กัน และที่สำคัญคือมีความเข้าในกัน คุณย่าได้แนะเคล็ดลับให้ว่า เมื่อใดที่ความรู้สึกไม่พอใจหรือโกรธมากๆ ขึ้นมา ให้ถักตุ๊กตาไหมพรมเก็บไว้ 1 ตัวเสมอ” ฝ่ายสามีเหลือบมองเข้าไปในกล่องมีตุ๊กตาไหมพรม 2 ตัววาง อยู่ เขาเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อลบหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ เขารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของภรรยาที่มีต่อเขาเป็นยิ่งนัก ชีวิตสมรสที่ยาวนานกว่า 50 ปี มีตุ๊กตา เพียง 2 ตัว เท่านั้น แทนจำนวนครั้งที่ภรรยาได้โกรธเคืองเขา ทั้งๆ ที่เขาได้หักหาญน้ำใจเธอ จนนับครั้งไม่ได้ หลังปาดคราบน้ำตาแล้วเขาหันกลับมา ฝ่ายภรรยาพูดต่อ “เธอคงแปลกใจกับเงินก้อนนี้สินะ” ฝ่ายหญิงหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดต่อว่า “มันเป็นเงินที่ได้จากการทยอยขายตุ๊กตาไปทีละตัวๆ ค่ะ “

เรื่องกบตัวหนึ่ง

กบตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในสระใกล้กุฏิพระ ….เช้าตรู่กบได้เห็นพระตื่นแล้วจัดแจงครองผ้า เดินไปสวดมนต์ภาวนา พอสว่างก็ออกบิณฑบาต ได้อาหารมาฉัน เป็นอย่างนี้ทุก ๆ วัน เจ้ากบก็เกิดความยินดีในพระเห็นดีในพระ มาเทียบกับตนแล้วเห็นว่าตนเองแย่มาก ๆ วันหนึ่งจะหาอาหารใส่ปากใส่ท้องระงับหิวก็ไม่ค่อยจะพอ มิหนำซ้ำยังต้องเป็นอยู่ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นกลัวภัยอันตรายตลอดเวลา ภัยอันตรายมีอยู่รอบทิศ ต้องจ้องกระโดดหลบภัยอยู่เรื่อย “ทำอย่างไรหนอ จึงจะได้เป็นพระ” เจ้ากบร้อนใจนักหนาปรารถนาจะเป็นพระ เห็นความเป็นกบนี้แสนจะเลวร้าย   ….ต่อมาพระท่านฉันภัตตาหารอิ่มแล้วก็เอาข้าวสุกมาโปรยให้ทานไก่ เจ้ากบเห็นไก่มีลาภได้จิกกินอาหารอย่างสำราญ ก็เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า… อา!……. เป็นพระนี่เห็นจะสู้ไก่ไม่ได้ เพราะกว่าจะได้อาหารมาฉันก็ต้องเดินไกล ต้องออกบิณฑบาตเหนื่อยเหมือนกัน เทียบกันแล้ว สู้ไก่ไม่ได้ ไก่อยู่กับที่ ถึงเวลาพระก็เอาข้าวสุกมาโปรยให้กินเอง พระท่านทำหน้าที่ราวกะทาสผู้ซื่อสัตย์ของไก่ “ทำอย่างไรหนอจึงจะได้เป็นไก่”   ขณะนั้นหมาวัดตัวหนึ่งมาแย่งอาหารไก่กิน ไก่กลัวหมาต้องละอาหารหนีเอาตัวรอด เจ้าหมาผู้มีอำนาจก็ยึดทรัพย์ของไก่เสีย เจ้ากบเห็นดังนี้ก็หันไปชื่นชมหมา เห็นหมาดีสารพัดชื่นชมราวกะหมาเป็นวีรชน พอดีมีชายคนหนึ่งเดินมา หมาก็วิ่งเข้าไปหมายจะกัดจึงโดนชายคนนั้นตี ร้องเสียงดังลั่นวิ่งหนีไป กบเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็อยากเป็นชายผู้นั้นอีก ทำอย่างไรหนอ… ขณะนั้นชายผู้นั้นก็มานั่งอยู่ขอบสระ เห็นจะเป็นฤดูร้อน เพราะมีแมลงวันมาตอมกวนชายผู้นั้น เขารำคาญลุกหนีแต่บ่นให้กบได้ยิน “รำคาญแมลงวันจริงโว้ย !” กบได้ยินดังนั้นก็นึก “ อะพิโธ่!…เป็นคนนึกว่าจะวิเศษสักแค่ไหน สู้แมลงวันก็ไม่ได้ […]

ความรัก

ถ้าเราเกิดมาเพื่อที่จะรักใครซักคน คนๆนั้นจะรักเราตอบ แต่ถ้าเราเกิดมาเพื่อที่จะรักใครหลายๆคน เชื่อเถอะว่า จะไม่มีใครรักเราจริงเลยแม้แต่คนเดียว บางครั้งความรักอาจเดินผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพียงครั้งเดียว และไม่หวนคืนกลับมาอีก เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ความรักครั้งนี้หรือครั้งไหนจะเป็นความรักครั้งสุดท้าย มีหลายครั้งที่เราตามหา………..แต่ความรักก็กลับหนีไป มีหลายครั้งที่เราไม่สนใจ… แต่…ความรักก็กลับเดินเข้ามา อย่า………อย่ามองข้ามใครคนหนึ่งไป เพียงเพราะหาเหตุผลที่จะรักไม่ได้ อย่า………ถามหาเหตุผลเมื่อจะรักใคร แต่ให้ถามสัมผัสจากหัวใจ ว่ารู้สึกอย่างไร อย่า………มองหาความรักด้วยสายตา แต่ให้มองหาความรักด้วยหัวใจ อย่า………เชื่อคำว่ารักที่ได้ยินจากหูทั้งสอง แต่ให้เชื่อคำว่ารักที่ดังก้องมาจากความรู้สึก และส่วนลึกของหัวใจ ความรัก เป็น สิ่งที่มีค่า แต่มันจะไร้ค่า ถ้าไม่มอบให้ใคร หากวันนึงเราพบใครซักคน ที่มองเห็นคุณค่าความรักของเราแล้วล่ะก็………มอบความรักให้เขาไปเถอะ แล้วเราจะรู้ว่า…….ความรักนั้นมีค่า………และมีความหมายเพียงใด

ความรักกับการมีอยู่

มีประโยคนึงในหนัง IL MARE ที่น่าสนใจมาก … เขาบอกทำนองว่า … ที่เราต้องเจ็บปวดกับความรักน่ะ ไม่ใช่เพราะมันจากไปหรอก … แต่เพราะมันยังคงอยู่ต่างหาก ถ้าวันนี้คนสองคน ต่างหมดรักกันไป คงไม่มีใครต้องเสียใจมากนัก แต่กลับเป็นเพราะรักที่ยังอยู่ในใจคุณนั่นเอง ที่ทำให้คุณปล่อยวางลงไม่ได้ ธรรมชาติของรัก มักไม่ให้โทษแก่ใคร เพียงแต่อาจปรุงแต่งให้หัวใจพองฟูจนลืมนึกถึงความจริงที่ว่า มีวันที่รักมา ก็อาจมีวันที่รักไปได้ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม หลายคนจึงอดหลงใหลได้ปลื้มกับมันไม่ได้ในยามที่มันอยู่ เรามักหลอกตัวเองว่า เพราะเรารักเขามาก เขาคงเห็นความดี ความตั้งใจของเรา และรักเราตอบบ้าง ไม่มากก็น้อย และเมื่อเขาตอบรับรักของเรา ความฟูของหัวใจ มักทำให้เราก้าวล่วงไปถึงการรู้สึกยึดมั่น ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นเหมือนทรัพย์สินส่วนตัวทางใจอย่างหนึ่ง ที่จะต้องอยู่กับเราทุกครั้งที่เราต้องการ นานเท่าที่เราปรารถนา ความรู้สึกอันนี้แหละ คือจุดเริ่มของความเจ็บปวดทั้งมวล เพราะมันฝืนกฏธรรมชาติ ไม่ได้บอกว่า … รักต้องลงเอยด้วยความเศร้าเสมอไป เพียงแต่ถ้าเขาจะอยู่ เขาจะไป จะรักคุณมากขึ้น คงเดิม หรือหดน้อยถอยลง ก็จะเป็นเพราะคนสองคน ไม่ใช่ความต้องการของเราฝ่ายเดียว หรือเขาฝ่ายเดียว ชีวิตเป็นเรื่องซับซ้อนเข้าใจยาก … แต่ในความซับซ้อนนั้น มันก็เรียบง่ายอย่างที่เรานึกไม่ถึง เพราะไม่ว่าสิ่งไหน […]

ถ้าเธอรู้จักรัก

สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา . . . คือชีวิตเรา สิ่งที่มีค่าที่สุดในใจเรา . . . คือหัวใจเรา อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ใคร อย่าเอาใจทั้งใจไปยกให้ใครคนหนึ่ง อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดและสิ่งที่ดีที่สุดของเราไปให้ใครดูแล เพราะไม่มีใคร . . . ที่จะดูแลมันได้ดีไปกว่าตัวเราเอง อย่าปิดกั้นความรู้สึกของหัวใจ อย่าบอกว่าเกิดมาเพื่อรักคน ๆ เดียว คนใจแคบเท่านั้น . . . ที่เกิดมาเพื่อรักคนได้คนเดียว เราสามารถรักใครต่อใครได้มากมาย ขอเพียงให้รู้จักหน้าที่ของความรัก หน้าที่ที่จะปฎิบัติต่อคนที่เรารัก รักต่างแบบ . . . ปฎิบัติในหน้าที่ต่างกัน แล้วเมื่อวันใดวันหนึ่ง . . . คนบางคนไม่แยแสกับความรักที่เรามีให้ เราก็ยังคงเหลือใครต่อใครอีกมากมาย . . . และไม่เห็นต้องเจ็บเจียนตาย . . . ถ้าเรามั่นใจ . . . ว่าเราทำหน้าที่ให้รักนั้น เต็มที่แล้ว อากาศ […]